เชื่อว่ามากกว่า 80% ของชาวไทยเองยังไม่เชื่อฝีมือแพทย์ หรือศัลยแพทย์ในประเทศไทยเท่าที่ควร เมื่อเทียบการแพทย์ของต่างประเทศ แต่ตอนนี้ได้เวลาที่จะต้องเปลี่ยนความคิดกัน เพราะการแพทย์ไทยก็ไม่น้อยหน้าประเทศไหนในโลกเลยทีเดียว มีแพทย์ไทย งานวิจัย และผลงานตีพิมพ์ด้านการแพทย์ไทย มากมายที่ได้รับการยอมรับจากเวทีโลก รวมถึงการคว้าตำแหน่งเจ้าแห่งอาเซียนด้านการแพทย์มาครองได้
ปัจจุบันมีหลายคลินิกในประเทศไทยที่ให้บริการเสริมความงามครบวงกร โดยใช้หลักการแพทย์ผิวหนังเข้ามาช่วย ทั้งนี้ ทางแพทย์สภาเองก็เตรียมผลักดันให้ประเทศไทยของเรากลายเป็น Cosmetic Hub หรือศูนย์รวมของเรื่องความสวยความงามและเตรียมดึงเงินจากระเป๋าชาวต่างชาติจากนานาประเทศทั่วโลกรวมไปถึงชาวไทยเอง
และการเปิดตัวของแพทย์สภาครั้งนี้ยังรวมไปถึงการเตรียมตัวชิงชัยกับแชมป์แห่งศัลยกรรมอย่างประเทศเกาหลีอีกด้วย โดยความมั่นใจในครั้งนี้ของทีมแพทย์สภาพก็คือ มูลค่าตลาดของการแพทย์ผิวหนังและศัลยกรรมเพิ่มขึ้นปีละ 2-3 หมื่นล้านบาทและมีแนวโน้มที่สูงขึ้นไปเช่นนี้เรื่อยอีกด้วย
ในช่วงที่ “ศัลยกรรมในประเทศไทย” กำลังอยู่ในช่วงพุ่งขึ้นนั้น (คนไทยเองก็นิยมทำศัลยกรรมจมูกและหน้าอกโดยใช้ศัลยแพทย์คนไทยมากขึ้น ถึง 20% ใน 5 ปีทีผ่านมา) แต่ประเทศของเราก็มีจุดอ่อนอยู่พอสมควรถ้าหากจะไปแข่งกับประเทศเกาหลีที่มีมูลค่าตลาดมากถึงปีละ 1 แสนล้านบาท โดยอ้างอิงจากสถิติเดิมประเทศไทยก็ติดอันดับประเทศที่มีผู้ทำศัลยกรรมรวมทั้งประเทศมากเป็นอันดับที่ 21 ของโลก โดยชาวไทยจะนิยมทำศัลยกรรมเปลือกตา (ตาสองชั้น) มากที่สุด ซึ่งในทางเดียวกัน ฝีมือศัลยแพทย์เมืองไทยก็มีหลายท่านที่ติดอันดับ Top ในเวทีโลก
1. เนื่องจากประเทศไทยของเรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของ ศัลยกรรมและความสวยความงาม ทำให้แพทย์ต่างพากันเข้ามาอยู่ในวงการนี้กันเยอะมาก ทั้งที่บางคนอาจจะยังไม่จบเฉพาะทางเสียด้วยซ้ำ นั้นหมายถึงว่า “ความชำนาญและเชี่ยวชาญอาจจะยังไม่เกิดดีเท่าทีควร” และจุดนี้ก็เหมือนเป็นการทำลายชื่อเสียงของผู้เชี่ยวชาญอยู่เนืองๆ หากมีเคสที่ผิดพลาดสักหนึ่งครั้ง ก็สามารถทำลายชื่อเสียงไปได้เยอะเลยทีเดียว
2. กระแสความนิยมมีในต่างชาติมากกว่าคนไทยเอง ข้อเสียเปรียบอีกหนึ่งเรื่องก็คือ “การประชาสัมพันธ์ของเรายังไม่ดีเท่าที่ควร” หากเทียบกับคู่แข่งอย่างเกาหลี ที่ยังไม่สามารถสร้างความเข้าใจถึงฝีมือของแพทย์ไทยให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าแพทย์จากต่างชาติ ทั้งที่จริงประเทศไทยของเราเป็นที่นิยมในการศัลยกรรมของชาวต่างชาติมากกว่าคนไทยเองเสียอีก
3. ประเทศไทยพร้อมไปด้วยแพทย์มากฝีมือ ประเทศไทยของเรามีทรัพยากรบุคคลที่ค่อนข้างจะพร้อมและครบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการเสริมความงามโดยการผ่าตัด หรือไม่ผ่าตัด ทั้งการทำจมูก เสริมหน้าอก แปลงเพศ ซึ่งแพทย์ของเรานั้นอยู่ในอันดับ 1 ใน 5 ของโลกเลยทีเดียวซึ่งสะสมประสบการณ์มามากกว่า 50 ปี (เริ่มศัลยกรรมก่อนประเทศเกาหลีเสียอีก) ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยของเรามีศัลยแพทย์มากถึง 600 คนและมีแพทย์ที่มีฝีมือโดดเด่นจริงๆ ประมาณ 200 (ตามทะเบียนของแพทย์สภา) นั้นหมายถึงความพร้อมที่จะสามารถรองรับผู้ใช้บริการได้เป็นอย่างดีและทั่วถึง
แผนการเอาจริงที่จะดัน ประเทศไทยของเราเป็น Cosmetic Hub (ประเทศแห่งความงาม) แผนการที่ถูกวางแผนกันมานานและเก็บสถิติอยู่นานพอสมควร ก่อนที่จะกางวางแผนจริงๆจังๆ ข้อได้เปรียบในการเปิด AEC ทำให้บ้านเรามีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงก่อนที่จะเริ่มขยายตลาดไปยังฝั่งตะวันตกได้ ทั้งนี้แผนการนี้จะเป็นจริงได้มากแค่ไหนก็ต้องอยู่ที่คนไทยเองที่จะต้องรับรู้ถึงฝีมือและความสามารถของแพทย์ไทยด้วยก่อนเช่นกัน
นอกจากความสำเร็จในเรืองของการให้บริการและฝีมือศัลยแพทย์ไทยแล้ว ยังมีตัวอย่างความสำเร็จที่ ดร.กันธิชา ฉิมศิริ หรือ ดร.ยุ้ย ผู้ชนะจากเวทีประกวด Mrs. International ปี 2016 และเธอก็เป็นคนไทยคนแรกที่สามารถคว้ามงกุฎนี้เอาไว้ได้ และเมื่อสื่อต่างชาติหลากหลายแห่งถามเรื่องของความงามที่คว้ารางวัลเอาไว้ได้นั้น ดร.ยุ้ย ก็ตอบอย่างมั่นใจเลยว่า ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการทำศัลยกรรมจากทีมแพทย์โรงพยาบาลบางมด (เธอได้ทำศัลยกรรม ตา จมูก และ หน้าอก) ทำให้ศัลยแพทย์ไทยกลายเป็นที่สนใจจากสื่อต่างชาติกันเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแค่ด้านความสวยงาม และศัลยกรรมเท่านั้นที่แพทย์ไทยก้าวสู่เวทีโลกได้ แต่การแพทย์ด้านอื่นๆก็มีแพทย์ชาวไทยที่ขึ้นเวทีระดับโลกมาไม่น้อย ตัวอย่างเช่น นพ.อาคม เชียรศิลป์ แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรมมะเร็งวิทยา แห่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้รับการยกย่องจากสถาบันระดับโลก อย่างสถาบัน IRPC (International Research Promotion Council) ให้ท่านได้รับรางวัล “บุคคลดีเด่นด้านการแพทย์ประจำปี 2007 พร้อมทั้งได้มอบรางวัล “EMINENT SCIENTIST OF THE YEAR 2007 ASIA” สาขาด้านการศึกษาและวิจัยทางคลินิกด้านมะเร็งวิทยา ซึ่งถือว่ารางวัลนี้เป็นการยกระดับการแพทย์ไทย รวมไปถึงความภาคภูมิใจของแพทย์สภาอีกด้วย
โดยที่ นพ. อาคม เชียรศิลป์ ได้รับการยกย่องและมอบรางวัลทรงเกียรตินี้ก็เนื่องจาก ความเชี่ยวชาญและงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องของการทำเคมีบำบัด และผลข้างเคียง” ซึ่งนับว่าเป็นงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการแพทย์ของโลกเลยก็ว่าได้ รวมไปถึงผลงานเขียนหนังสือ และผลงานตีพิมพ์อีกนานาชนิดมากกว่า 50 เรื่อง อีกทั้งท่านยังคงอุทิศตนเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งชาวไทยอย่างจริงจังและรอบด้านไม่ว่าจะเป็น มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งเต้านม
Reference
http://www.manager.co.th/Celebonline/ViewNews.aspx?NewsID=9550000137936
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000116135
http://www.iweddingskincare.com/คุยเรื่องผิว/199-ข้อเท็จจริงที่ยังไม่รู้ก่อนการทำทรีตเมนต์-เลเซอร์ในคลินิกความงาม
http://drahnsupkim.blogspot.com/2013/05/top-asian-countries-offering-asian.html
Write a comment: